บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กรกฎาคม, 2019

งานที่ 2 Blockchain technology

รูปภาพ
Blockchain คืออะไร ? ที่มาของคำว่า  Blockchain  (บล็อกเชน) มาจากคำว่า “Block” ที่แปลว่า กล่อง โดยให้มองว่ากล่องแต่ละใบเป็นตัวเก็บข้อมูล ส่วนของ “Chain” นั้นแปลว่า โซ่ หรือ การผูกมัดกัน ซึ่งเมื่อเอาทั้งสองคำมารวมกันจะให้ความหมายว่า กล่องเก็บข้อมูลที่เชื่อมโยงกันเป็นแบบลูกโซ่ ถ้าพูดในเชิง technical หน่อย  Blockchain ก็คือ เทคโนโลยีแบบ peer-to-peer ที่เชื่อมคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องในเครือข่ายเข้าหากัน และทำการส่งข้อมูลไปมาได้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องผ่านคนกลาง ซึ่งแต่ละคนก็จะมีการเก็บข้อมูลหลักฐานของตัวเองไว้หนึ่งชุด ก่อนที่จะส่งตัวสำเนาไปให้อีกคนหนึ่งได้ โดยที่คนที่รับจะไม่สามารถแก้ไขข้อมูลชุดแรกได้ ทำให้  Blockchain  มีความปลอดภัยในการป้องกันการปลอมแปลงชุดข้อมูลสูงมาก โดยเทคโนโลยีที่นำ  Blockchain  มาประยุกต์ใช้และทำให้  Blockchain  เป็นที่รู้จักกันเป็นวงกว้าง ก็คือ Bitcoin ซึ่งเป็น Cryptocurrency ประเภทหนึ่งที่ต้องการความปลอดภัยสูง เพราะว่า Bitcoin เป็นสกุลเงินที่จับต้องไม่ได้ จึงเหมาะต่อการใช้ Blockchain  เข้าช่วย

งานที่ 1 Artificial Intelligence

 Artificial Intelligence  คือ เครื่องจักร(machine) ที่มีฟังก์ชันทีมีความสามารถในการทำความเข้าใจ เรียนรู้องค์ความรู้ต่างๆ อาทิเช่น การรับรู้  การเรียนรู้ การให้เหตุผล และการแก้ปัญหาต่างๆ  เครื่องจักรที่มีความสามารถเหล่านี้ก็ถือว่าเป็น ปัญญาประดิษฐ์ AI ถูกจำแนกเป็น 3 ระดับตามความสามารถหรือความฉลาดดังนี้ 1 )  ปัญญาประดิษฐ์เชิงแคบ  (Narrow AI ) หรือ ปัญญาประดิษฐ์แบบอ่อน (Weak AI) : คือ  AI ที่มีความสามารถเฉพาะทางได้ดีกว่ามนุษย์(เป็นที่มาของคำว่า Narrow(แคบ) ก็คือ AI ที่เก่งในเรื่องเเคบๆหรือเรื่องเฉพาะทางนั่นเอง)  อาทิ เช่น AI ที่ช่วยในการผ่าตัด(AI-assisted robotic surgery)  ที่อาจจะเชี่ยวชาญเรื่องการผ่าตัดกว่าคุณหมอยุคปัจจุบัน  แต่แน่นอนว่า AIตัวนี้ไม่สามารถที่จะทำอาหาร ร้องเพลง หรือทำสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากการผ่าตัดได้นั่นเอง  ซึ่งผลงานวิจัยด้าน AI ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ที่ระดับนี้ 2 ) ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป ( General AI )   : คือ AI ที่มีความสามารถระดับเดียวกับมนุษย์ สามารถทำทุกๆอย่างที่มนุษย์ทำได้และได้ประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ 3) ปัญญาประดิษฐ์แบบเข้ม (Strong AI ) : คือ AI ท